มีขนมมายั่วยวนคนกำลังทานเจค่ะ
(รวมทั้งตัวคนโพสต์ด้วย...แง)
เนื่องจากวันนี้มีนัดสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ The Nation ที่ Bake Ministry Studio
เลยต้องทำขนมไว้ใช้สำหรับถ่ายรูปประมาณ 3 อย่าง
ทำไปก็กลืนน้ำลายไป อยากกินก็กินไม่ได้ เพราะกำลังกินเจอยู่ ช่างเป็นบททดสอบจิตใจที่หฤโหดซะจริงๆ !
วันนี้จะชวนมาทำหนึ่งในเมนูใหม่ ที่ใช้สัมภาษณ์ในวันนี้
Strawberry Mascapone Tart ค่ะ
ทำไม่ยาก แถมยังหอมหวาน นม เนย และวานิลลาสุดๆ (ไม่ได้ชิม แต่ดมเอา 555)
ยิ่งทานตัดกับซอสสตรอเบอรี่รสเปรี้ยว รับรอง ถูกใจทุกคนแน่ค่ะ
มาลุยกันเลยดีกว่า
Strawberry Mascapone Tart
สำหรับขนาดพิมพ์ทาร์ต ขนาด 9" ค่ะ
ส่วนผสม Tart
แป้งอเนกประสงค์ 1 1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/4 ช้อนชา
เนยจืดเย็น หั่นเป็นลูกเต๋า 7 ช้อนโต๊ะ (ประมาณ 105 กรัม)
ไข่แดง 1 ฟอง
กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา
น้ำเย็นจัด 3 ช้อนโต๊ะ
1. นำเนยสดเย็น หั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ไปผสมกับแป้ง เกลือ น้ำตาล
สำหรับใครที่มี Food Processor ก็กดปั่นๆๆๆๆ จนกลายเป็นเหมือนทราย แต่ใครที่ไม่มี ก็ใช้ Pastry blender หรือมีด 2 เล่ม ฟันสลับกันไปมา ก็จะได้ผลลัพท์เหมือนกัน เหนื่อยกว่า (นิดนึง) แต่ประหยัดไฟ ช่วยลดโลกร้อน (เนอะ :P)
2. ใส่ไข่แดง กลิ่นวานิลลา น้ำมะนาว และน้ำเย็นจัดลงไป รวบแป้งเป็นก้อนเดียวกัน แล้วนวดๆๆ ให้เนื้อโดเนียนนิดหน่อย จากนั้นก็เอาพลาสติก wrap แป้งโดไว้ แล้วเอาไปแช่เย็นประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมงค่ะ
3. เมื่อแป้งโดเย็นได้ที่แล้ว ก็นำออกมาจากตู้เย็น โรยแป้งที่โต๊ะ และที่ไม้คลึงนิดหน่อย จากนั้นก็รีดด..ด..ด แป้งให้กว้างกว่าขนาดพิมพ์ทาร์ตของเรา แล้วก็กรุแป้งโดลงไปในพิมพ์ทาร์ต
4. ใช้ส้อมจิ้มๆๆๆทาร์ตของเราให้ทั่ว แล้วเอาเข้าตู้เย็นอีกประมาณ 15-20 นาทีค่ะ
Tips การแช่เย็นทาร์ตก่อนนำเข้าอบ จะช่วยให้แป้งทาร์ตไม่หดตัวเมื่ออบเสร็จค่ะ
5. นำกระดาษฟอยล์มารองทาร์ตไว้ แล้วใช้ Pie Weight หรือถ้าใครไม่มี จะใช้เมล็ดถั่วเขียวแห้ง หรือข้าวสารแห้งมาถ่วง เพื่อไม่ให้แป้งพายของเราพองขึ้นมาระหว่างอบค่ะ
ถ้าใครที่ทำทาร์ตบ่อยๆ ซื้อ Pie Weight แบบเซรามิคมาใช้เลยก็คุ้มดีนะคะ สะดวกดี
6. นำเข้าทาร์ตเข้าอบที่ 180C เป็นเวลา 15 นาที หลังจากนั้นให้ยก pie weight ออก แล้วนำกลับเข้าไปอบต่ออีกประมาณ 10 นาที ก็เรียบร้อยค่ะ
และนี่คือตัวอย่างของคนที่ไม่รู้จะรีบไปไหน ไม่ยอมแช่แป้งทาร์ตก่อนนำเข้าไปอบ
ผลคือ หดดด....ดดดดด เหลือจึ๋งเดียว 55555
พักทาร์ตของเราไว้ให้เย็นสนิทก่อน แล้วมาทำ Masacapone filling กันค่ะ
Mascapone Filling
สตรอเบอรี่สด ล้างสะอาด ตัดขั้ว และหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หรือชิ้นใหญ่ ตามชอบ 1 1/2 lb
น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วยตวง
มาสคาโปเน่ชีส 1 lb
น้ำตาลไอซิ่ง1/4 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
ผิวมะนาวขูด (optional) 1/2 ช้อนชา
วานิลลา 3/4 ช้อนชา
มาสคาโปเน่ชีส จะเป็นถุงๆแบบนี้ค่ะ เหมาะสำหรับทำขนมที่ต้องการเนื้อครีมมี่นิดหน่อย ประเภททีรามิสุ อะไรอย่างนี้ รสจะออกมันๆหน่อย แต่กลิ่นและรสจะไม่แรงเท่าครีมชีส หรือชีสประเภทอื่น เหมาะกับการเอามาทำของหวาน หรือจะทำของคาวก็อร่อยดีค่ะ (เอามาใส่พิซซ่า แ้ล้วเอาไปอบ รับรองอร่อยเหาะเชียวววว)
1. ล้างตัดขั้วสตรอเบอรี่ แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กหรือชิ้นใหญ่ตามชอบเลยค่ะ แต่เราหั่นชิ้นใหญ่หน่อย ส่วนลูกไหนที่เล็กๆ ก็ไม่หั่นเลย เวลาเอามาราดซอสแบบเต็มๆลูก ดูแล้วสวยดี
2. เทน้ำตาลทราย 1/3 ถ้วยลงไปในสตรอเบอรี่ คลุกให้เข้ากัน แล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
3. ผสมมาสคาโปเน่ชีส น้ำตาลไอซิ่ง น้ำมะนาว ผิวมะนาวขูด และวานิลลา เข้าด้วยกัน แล้วตีเข้ากันจนขึ้นฟูค่ะ
Tips : เคล็ดลับความหอม หวาน อร่อย ของทาร์ตสูตรนี้ก็คือ Tahitian Vanilla ตัวนี้แหล่ะค่ะ
ปกติกลิ่นวานิลลาสังเคราะห์ทั่วไปจะให้แค่กลิ่น ซึ่งไม่หอมหวานชวนอร่อยเหมือนวานิลลาตัวนี้ เพราะวานิลลาจากเกาะตาฮิติตัวนี้ สกัดมาจากฝักวานิลลาแท้ที่ขึ้นบนเกาะตาฮิติ โดยฝักวาินิลลาของเกาะตาฮิติ จะมีความพิเศษเฉพาะตัว คือมีกลิ่นหอมหวานคล้ายผลไม้ประเภทเชอรี่ ต่างจากฝักวานิลลาจากเกาะมาดากัสการ์ ซึ่งจะเป็นกลิ่นหอมหวานแบบปกติทั่วไป
Tahitian Vanilla จะเหมาะกับการใส่ในขนมที่ไม่ต้องผ่านความร้อน อย่างเช่น ไอศครีม หรือวิปครีม ค่ะ เพราะถ้าไปผ่านความร้อนปั๊ป กลิ่นหอมหวานก็จะหายไปทันที น่าเสียดายยยย
เพราะงั้น ถ้าจะใส่ในขนมที่ต้องเอาไปอบต่อ ก็ใช้แบบมาดากัสการ์ จะเหมาะกว่าค่ะ
Tahitian Vanilla รวมถึงผลิตภัณฑ์ประเภทวานิลลาของ Neilsen massey นี้แหล่ะค่ะ เจ๋งสุด !
4. เมื่อ filling ของเราพร้อม ก็จัดการตักใส่ tart shell ที่เย็นแล้วของเราได้เลยค่ะ
5. ต่อไปก็เอาสตรอเบอรี่ที่เราคลุกน้ำตาลไว้ มาตั้งไฟ แล้วเคี่ยวจนซอสข้นขึ้น แล้วพักให้เย็นสนิท ก็เรียบร้อยค่ะ
6. เอาทาร์ต และซอสไปแช่ตู้เย็นจนเย็นเจี๊ยบบบบบบบบบบบบ ก็พร้อมเสริ์ฟแล้วล่ะค่า
ตัดล่ะนะ !
Bon Appetit ค่า !
xoxo
(รวมทั้งตัวคนโพสต์ด้วย...แง)
เนื่องจากวันนี้มีนัดสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ The Nation ที่ Bake Ministry Studio
เลยต้องทำขนมไว้ใช้สำหรับถ่ายรูปประมาณ 3 อย่าง
ทำไปก็กลืนน้ำลายไป อยากกินก็กินไม่ได้ เพราะกำลังกินเจอยู่ ช่างเป็นบททดสอบจิตใจที่หฤโหดซะจริงๆ !
วันนี้จะชวนมาทำหนึ่งในเมนูใหม่ ที่ใช้สัมภาษณ์ในวันนี้
Strawberry Mascapone Tart ค่ะ
ทำไม่ยาก แถมยังหอมหวาน นม เนย และวานิลลาสุดๆ (ไม่ได้ชิม แต่ดมเอา 555)
ยิ่งทานตัดกับซอสสตรอเบอรี่รสเปรี้ยว รับรอง ถูกใจทุกคนแน่ค่ะ
มาลุยกันเลยดีกว่า
Strawberry Mascapone Tart
สำหรับขนาดพิมพ์ทาร์ต ขนาด 9" ค่ะ
ส่วนผสม Tart
แป้งอเนกประสงค์ 1 1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/4 ช้อนชา
เนยจืดเย็น หั่นเป็นลูกเต๋า 7 ช้อนโต๊ะ (ประมาณ 105 กรัม)
ไข่แดง 1 ฟอง
กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา
น้ำเย็นจัด 3 ช้อนโต๊ะ
1. นำเนยสดเย็น หั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆ ไปผสมกับแป้ง เกลือ น้ำตาล
สำหรับใครที่มี Food Processor ก็กดปั่นๆๆๆๆ จนกลายเป็นเหมือนทราย แต่ใครที่ไม่มี ก็ใช้ Pastry blender หรือมีด 2 เล่ม ฟันสลับกันไปมา ก็จะได้ผลลัพท์เหมือนกัน เหนื่อยกว่า (นิดนึง) แต่ประหยัดไฟ ช่วยลดโลกร้อน (เนอะ :P)
2. ใส่ไข่แดง กลิ่นวานิลลา น้ำมะนาว และน้ำเย็นจัดลงไป รวบแป้งเป็นก้อนเดียวกัน แล้วนวดๆๆ ให้เนื้อโดเนียนนิดหน่อย จากนั้นก็เอาพลาสติก wrap แป้งโดไว้ แล้วเอาไปแช่เย็นประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมงค่ะ
3. เมื่อแป้งโดเย็นได้ที่แล้ว ก็นำออกมาจากตู้เย็น โรยแป้งที่โต๊ะ และที่ไม้คลึงนิดหน่อย จากนั้นก็รีดด..ด..ด แป้งให้กว้างกว่าขนาดพิมพ์ทาร์ตของเรา แล้วก็กรุแป้งโดลงไปในพิมพ์ทาร์ต
4. ใช้ส้อมจิ้มๆๆๆทาร์ตของเราให้ทั่ว แล้วเอาเข้าตู้เย็นอีกประมาณ 15-20 นาทีค่ะ
Tips การแช่เย็นทาร์ตก่อนนำเข้าอบ จะช่วยให้แป้งทาร์ตไม่หดตัวเมื่ออบเสร็จค่ะ
5. นำกระดาษฟอยล์มารองทาร์ตไว้ แล้วใช้ Pie Weight หรือถ้าใครไม่มี จะใช้เมล็ดถั่วเขียวแห้ง หรือข้าวสารแห้งมาถ่วง เพื่อไม่ให้แป้งพายของเราพองขึ้นมาระหว่างอบค่ะ
ถ้าใครที่ทำทาร์ตบ่อยๆ ซื้อ Pie Weight แบบเซรามิคมาใช้เลยก็คุ้มดีนะคะ สะดวกดี
6. นำเข้าทาร์ตเข้าอบที่ 180C เป็นเวลา 15 นาที หลังจากนั้นให้ยก pie weight ออก แล้วนำกลับเข้าไปอบต่ออีกประมาณ 10 นาที ก็เรียบร้อยค่ะ
และนี่คือตัวอย่างของคนที่ไม่รู้จะรีบไปไหน ไม่ยอมแช่แป้งทาร์ตก่อนนำเข้าไปอบ
ผลคือ หดดด....ดดดดด เหลือจึ๋งเดียว 55555
พักทาร์ตของเราไว้ให้เย็นสนิทก่อน แล้วมาทำ Masacapone filling กันค่ะ
Mascapone Filling
สตรอเบอรี่สด ล้างสะอาด ตัดขั้ว และหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ หรือชิ้นใหญ่ ตามชอบ 1 1/2 lb
น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วยตวง
มาสคาโปเน่ชีส 1 lb
น้ำตาลไอซิ่ง1/4 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
ผิวมะนาวขูด (optional) 1/2 ช้อนชา
วานิลลา 3/4 ช้อนชา
มาสคาโปเน่ชีส จะเป็นถุงๆแบบนี้ค่ะ เหมาะสำหรับทำขนมที่ต้องการเนื้อครีมมี่นิดหน่อย ประเภททีรามิสุ อะไรอย่างนี้ รสจะออกมันๆหน่อย แต่กลิ่นและรสจะไม่แรงเท่าครีมชีส หรือชีสประเภทอื่น เหมาะกับการเอามาทำของหวาน หรือจะทำของคาวก็อร่อยดีค่ะ (เอามาใส่พิซซ่า แ้ล้วเอาไปอบ รับรองอร่อยเหาะเชียวววว)
1. ล้างตัดขั้วสตรอเบอรี่ แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กหรือชิ้นใหญ่ตามชอบเลยค่ะ แต่เราหั่นชิ้นใหญ่หน่อย ส่วนลูกไหนที่เล็กๆ ก็ไม่หั่นเลย เวลาเอามาราดซอสแบบเต็มๆลูก ดูแล้วสวยดี
2. เทน้ำตาลทราย 1/3 ถ้วยลงไปในสตรอเบอรี่ คลุกให้เข้ากัน แล้วทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
3. ผสมมาสคาโปเน่ชีส น้ำตาลไอซิ่ง น้ำมะนาว ผิวมะนาวขูด และวานิลลา เข้าด้วยกัน แล้วตีเข้ากันจนขึ้นฟูค่ะ
Tips : เคล็ดลับความหอม หวาน อร่อย ของทาร์ตสูตรนี้ก็คือ Tahitian Vanilla ตัวนี้แหล่ะค่ะ
ปกติกลิ่นวานิลลาสังเคราะห์ทั่วไปจะให้แค่กลิ่น ซึ่งไม่หอมหวานชวนอร่อยเหมือนวานิลลาตัวนี้ เพราะวานิลลาจากเกาะตาฮิติตัวนี้ สกัดมาจากฝักวานิลลาแท้ที่ขึ้นบนเกาะตาฮิติ โดยฝักวาินิลลาของเกาะตาฮิติ จะมีความพิเศษเฉพาะตัว คือมีกลิ่นหอมหวานคล้ายผลไม้ประเภทเชอรี่ ต่างจากฝักวานิลลาจากเกาะมาดากัสการ์ ซึ่งจะเป็นกลิ่นหอมหวานแบบปกติทั่วไป
Tahitian Vanilla จะเหมาะกับการใส่ในขนมที่ไม่ต้องผ่านความร้อน อย่างเช่น ไอศครีม หรือวิปครีม ค่ะ เพราะถ้าไปผ่านความร้อนปั๊ป กลิ่นหอมหวานก็จะหายไปทันที น่าเสียดายยยย
เพราะงั้น ถ้าจะใส่ในขนมที่ต้องเอาไปอบต่อ ก็ใช้แบบมาดากัสการ์ จะเหมาะกว่าค่ะ
Tahitian Vanilla รวมถึงผลิตภัณฑ์ประเภทวานิลลาของ Neilsen massey นี้แหล่ะค่ะ เจ๋งสุด !
4. เมื่อ filling ของเราพร้อม ก็จัดการตักใส่ tart shell ที่เย็นแล้วของเราได้เลยค่ะ
5. ต่อไปก็เอาสตรอเบอรี่ที่เราคลุกน้ำตาลไว้ มาตั้งไฟ แล้วเคี่ยวจนซอสข้นขึ้น แล้วพักให้เย็นสนิท ก็เรียบร้อยค่ะ
6. เอาทาร์ต และซอสไปแช่ตู้เย็นจนเย็นเจี๊ยบบบบบบบบบบบบ ก็พร้อมเสริ์ฟแล้วล่ะค่า
ตัดล่ะนะ !
Bon Appetit ค่า !
xoxo
มาขอเอาขนมไปทานชิ้นนึงก่อนนะคะ
ReplyDeleteยินดีค่ะ :)
ReplyDeleteอย่าลืมเอาซอสสตรอเบอรี่ไปด้วยนะค้า
น่ากินจังเลยนะคะ ทำไม่ยากด้วย
ReplyDeleteถ้าฐานใช้เป็น แครกเกอร์ ได้ไหมค่ะ
ReplyDelete