Monday 27 September 2010

Bake Ministry's Studio is coming !

ในที่สุดก็เสร็จซักที !!

Bake Ministry's Studiooooo.o.o.o.o.o.o...



ใช้เวลากว่า 3 เดือน วิ่งวุ่นวนไปมาระหว่างงานราษฎร์และงานหลวง
เป็น ช่วง 3 เดือนที่เหนื่อย ต้องตบตีกับผู้รับเหมาอยู่หลายครั้ง (ถ้าพิศาล อัครเศรณีเป็นผู้กำกับ เราก็คงจะลงเอยกับผู้รับเหมาไปแล้ว 5555 )
แต่ก็มีความสุขที่สุดค่ะ เพราะในที่สุดความฝันของ Bake Ministry ก็เป็นจริง
ยะฮู้ !!

Bake Ministry's Studio ไม่ใช่ร้านขายขนม....แต่
วันไหนที่คุณอยากกินขนม ก็แวะเข้ามาได้ มาดูกันซิ ว่าัวันนี้เราทำขนมอะไรไว้แบ่งกันทานบ้าง?
หรือ วันไหนที่คุณอยากลองทำขนม ก็มาดูกันซิ ว่าขนมที่คุณทำจะออกมาเป็นยังไง ?

เพราะเราจะทำขนมเล่นกันที่นี่ทุกวันค่ะ รับรองว่ากลิ่นขนมจะตลบอบอวลไปทั้งตึกแน่ๆ

วันนี้ ขออนุญาตบันทึกเรื่องราว และขั้นตอนในการก่อสร้าง Bake Ministry's Studio ไว้เป็นที่ระลึกหน่อยนะคะ
มาดูกัน มาตื่นเต้น แล้วก็มาอ้วนด้วยกันดีกว่า นะ นะ นะ

July 2nd , 2010
Bake Ministry's Studio ของเราอยู่ที่ชั้น 3 ตึก Pikture Gallery
ซอยสุขุมวิท 49/1 หรือสังเกตง่ายๆ จะเห็นตึกสีน้ำเงิน ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ Starbucks เลยค่ะ




Pikture Gallery เป็นตึกที่มีกิจกรรมให้เล่นสนุกสนานเยอะแยะเลยค่ะ เพราะเรามีทั้งคลาสเรียนศิลปะ สำหรับเด็ก และผู้ใหญ่ แล้วก็มี Work Shop อีกมากมาย รวมถึงยังมีนิทรรศการศิลปะหมุนเวียนไปเรื่อยๆด้วย
และ Baking Workshop จาก Bake Ministry ก็จะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมในอนาคตด้วย เย่ =)

แรก เริ่มเดิมที ชั้น 3 ของเรานั้นแบ่งเป็นห้องเล็กๆอยู่หลายห้องค่ะ พอเราเข้าไปทำการยึดพื้นที่ ก็เลยต้องมีการปรัีบปรุงใหญ่ทั้งชั้น เริ่มจากการทุบผนังรวมห้องเล็กๆทั้งหลายให้เป็นห้องๆเดียวก่อน ซึ่งจากพื้นที่ทั้งหมด 5 ห้อง Bake Ministry ก็เหมาไปซะ 3 ห้อง สะใจกันไปเลย



ผู้รับเหมาเริ่มเข้ามาทำการกระชับพื้นที่ ทุบกำแพงกั้นห้อง และรื้อพื้นกระเบื้องเดิมออก

เราเลือกใช้กระเบื้องแกรนิโต้ เพราะเหมาะกับการใช้งานค่ะ โดนน้ำ โดนระเบิดก็ไม่เป็นไร ตอนแรกว่าจะปูพื้นไม้ แต่ถ้าโดนน้ำเข้าไป เราก็คงจะมีภูเขาอยู่กลางห้องเป็นแน่ (แล้วไม้ก็แพงด้วยยยย...)

July 15th , 2010
สองอาทิตย์แรกผ่านไปได้ด้วยดี ผู้รับเหมาทำงานต่อเนื่อง ไม่นานนัก เราก็ทำการปรับพื้นที่ส่วนใหญ่ และปูกระเบื้องเรียบร้อยทั้งชั้น

เป็นสีขาวทั้งหมด ก็ดูโล่ง สะอาดตาดีเหมือนกันเนอะคะ


หลังจากนั้นก็ทำการวางระบบไฟฟ้า และประปาทั้งหมด แล้วก็เริ่มขั้นตอนของการทาสี


เรา เลือกใช้สีน้ำตาลเป็นธีมหลัก เพราะอยากให้สีสตูดิโอออกมาดูเป็นขนมๆ ก็เลยเลือกเล่นสีน้ำตาลสองเฉด โดยเราเอา pantone ของ TOA มานั่งเทียบกันดู กว่าจะเลือกสีหลักทั้ง 2 สีออกมาได้ ก็เล่นเอามึนเหมือนกันค่ะ เพราะสีนั้นก็สวย สีนี้ก็สวย แล้วพอมารวมกันเป็นชาร์ตสีเยอะๆ มันก็เหมื๊อน...เหมือนกันไปหมด 5555

August 1st, 2010
สอง อาทิตย์ ผ่านไป หลังจากทาสีเสร็จ เราก็มัวแต่ไปเสียเวลาอยู่กับการเลือกซิ้งค์ หรืออ่างล้างจานเจ้าปัญหา เพราะเราจะใช้งานค่อนข้างหนัก แต่รสนิยมดันขัดกับการใช้งานอย่างรุนแรง ก็เลยมัวแต่เถียงกันไปมา ระหว่างซิ้งค์เซรามิคแบบวินเทจ อันสวยงาม เป็นที่ถูกใจของทุกฝ่าย แต่ลักษณะการใช้งานนั้นไม่เอื้ออำนวยเป็นอย่างมาก หรือจะซิ้งค์สแตนเลสแบบสำเร็จรูปอันสมบุกสมบัน เหมาะสำหรับการใช้งานที่สุด แต่ไม่ถูกใจ (เรื่องมาก =P)

สุดท้าย ก็เลยมาลงเอยที่การก่อเคาน์เตอร์ซิ้งค์ด้วยปูน แล้วเอาซิ้งค์สแตนเลสสำเร็จรูปมาประกอบเข้าไป เสียเงินเพิ่มอีกจนได้ งบบานนนนน แง๊ !


เราไปได้ ซิ้งค์ใหญ่และลึกสะใจ แถมยังลดราคากว่า 70% ยี่ห้อ Mex มาจากบุญถาวรค่ะ รีบคว้าไว้เชียวว

August 15th , 2010
ตัวการทำงบบานประการที่สองก็คือ โคมไฟ นี่เองฮ่ะ
เนื่อง จากจน แต่ไม่เจียม รายได้ต่ำ รสนิยมสูง โคมไฟธรรมดาๆไม่ถูกใจ ไปถูกใจโคมไฟ Jeeves & Wooster จาก P.G. Woodhouse's characters: Bertie Wooster and Reginald Jeeves ซะได้ ราคาเล่นเอาเหงื่อตก แต่มีความสุขทุกครั้งที่นั่งมอง อิอิอิ



August 30th , 2010
เมื่อ ตัวสตูดิโอส่วนใหญ่เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มขั้นตอนของการทำบานประตูกั้นห้องค่ะ งานนี้เราใช้อลูมิเนียมสีดำ ติดกระจก แล้วเราก็จะกลายเป็นตู้ปลา (พะยูน) ที่ใครผ่านไปผ่านมา ก็จะเห็นพะยูนทำขนมงก งก งก

แล้วพะยูนก็แบ่งห้องเป็นสองส่วน คือส่วนที่เป็นพื้นที่ทำงานทั่วไป และส่วนที่เป็นพื้นที่ครัว สำหรับทำขนมค่ะ

มองจากฝั่งของ Office เข้าไปที่ห้องครัว
September 1st,2010
หลังจากงานส่วนใหญ่เสร็จหมดแล้ว ก็เป็นขั้นตอนของการเก็บรายละอียดงานของผู้รับเหมาค่ะ ซึ่งเนี่ยะแหล่ะค่ะ สาเหตุของการล่าช้า เพราะอยู่ดีๆผู้รับเหมาของเราก็หายตัวไป โทรตามก็ไม่รับสาย หรือรับสาย แล้วสัญญาว่าจะมา แต่ก็ไม่มา เบี้ยวกันอย่างงี้ยู่หลยวันมากกกกกกก เล่นเอาเริ่มกุมขมับ เอาล่ะสิ จะทำยังไงกันดีล่ะืัทีนี้ ว๊ากกก !

ในที่สุดก็ตามตัวได้ค่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะเรียบร้อย เพราะเฮียแกเล่นเก็บงานได้ชุ่ยมาก ไม่รู้จะเรียกว่าเก็บ หรือเขี่ยดี =( ต้องซัดกันอยู่หลายรอบ กว่าจะออกมาเรียบร้อยเป็นที่พอใจ เล่นเอาปวดหัวไปหลายวัน !!


September 15th , 2010
จากนั้นก็เป็นขั้นตอนของงานในส่วนเฟอร์นิเจอร์ค่ะ
เราสั่งต่อ island กับ oven cabinet และบานปิดซิ้งค์ล้างจาน รวมทั้งชั้นวางของ แบบ custom-made ค่ะ เพราะหาแบบที่ถูกใจ และตรงตามความต้องการใช้งานไม่ได้ (เรื่องมากอีกเช่นเคย) งานนี้โชคดีที่มีคนแนะนำช่างเฟอร์นิเจอร์ราคามิตรภาพ และผลงานชั้นยอดให้ เราก็เลยได้เฟอร์นิเจอร์เนี้ยบๆ สวยงาม มาประดับห้องครัว


งานนี้ทุลักทุเล และเป็นภาระให้กับช่างเฟอร์นิเจอร์มาก เพราะหินควอทซ์ที่เราเอามาทำ top ของ island นั้นแผ่นใหญ่มาก และ island เราก็ยักษ์ไม่แพ้กัน และด้วยความที่สตูดิโอเราอยู่ชั้น 3 จึงทำให้ช่างต้องแบกชิ้นส่วนต่างๆขึ้นมาประกอบกันในนี้แทน ต้องขอขอบคุณช่างทุกคนมากกกกกกเลยค่ะบานปิดซิ้งค์ และชั้นวางของก็เรียบร้อย
ติดที่จับประตูเข้าไป ก็เป็นอันเรียบร้อย ไปได้ที่จับแบบวินเทจนี้มาจากตลาดนัดใน CDC ค่ะ ฟลุคมาก เพราะมันเป็นของเก่า มีอยู่ไม่กี่ชิ้น บางชิ้นก็ไม่ครบคู่ด้วย หมดแล้วหมดเลย ราคาชิ้นละ 60 บาท เลยซื้อมา 6 ชิ้น ใช้ติดบานปิดซิ้งค์ไปแล้วสามชิ้น เหลืออีกสามชิ้น จะเอาไปทำอะไรดีนะ?
September 20th , 2010
ตอนแรกนึกว่าทุกอย่างจะเสร็จ
เรียบร้อยไปตั้งแต่ต้นเดือน แต่แล้วก็มีปัญหามาให้แก้อีกจนได้ เมื่อเตาอบของเรามีปัญหากับตู้เตาอบค่ะ ไม่รู้จะอะไรกันนักกันหนา ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการทำงานที่ช้า ยุ่งยาก และหลายขั้นตอนของช่างติดตั้งจาก Smeg ที่ต้องมาทั้งหมด 3 รอบ คือ มาส่งเตาครั้งนึง มาดูหน้างานครั้งนึง แล้วมาติดตั้งครั้งนึง ซึ่งกว่าจะมาได้แต่ละครั้ง ก็ต้องรอครั้งละอย่างน้อย 2-3 วัน แล้วพอมาถึง ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องให้ช่างเฟอร์นิเจอร์แก้ขนาดตู้ พอแก้เสร็จ กว่าช่าง smeg จะมา ช่างเฟอร์นิเจอร์ก็ต้องรอกันอีกเงกกกกก ไม่เป็นอันทำอะไรกันพอดี เกรงใจที่สุด =(

สุดท้ายก็เลยตัดปัญหา ไม่อยากรอนานไปมากกว่านี้แล้ว เตาจะไม่ฟิตพอดีกับตู้ก็ช่างละ เอาให้ใช้งานได้เป็นพอ !
คิดในแง่ดีว่า เรามีช่องว่างระหว่างเตาไว้เก็บของเพิ่มก็แล้วกัน (นะ) 55555
September 25th ,2010
หลังจากตรวจและเก็บความเรียบร้อ
ยทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ถึงขั้นตอนการทำความสะอาดอันสุดแสนจะทรมานค่ะ การต้องมาเก็บเศษสิ่งก่อสร้าง คราบสีที่เลอะ คราบปูนที่เปื้อน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ เล่นเอามึน แต่ก็สนุกดีค่ะ

สามพี่น้อง ช่วยกันปัด กวาด เช็ดถู กลับบ้านแทบจะสลบ คร่อกกกกกก


ในที่สุดก็เรียบร้อยซะที โอ๊ยยยยยยยยย ดีใจ =D
ขอฝาก Bake Ministry's Studio ไว้ในอ้อมใจด้วยนะค้าาาาาาาาาาา
แล้วเจอกันค่ะ
xxxx



3 comments:

  1. Congratulations on the new studio ka. Will definitely make a visit someday in the near future. :)

    ReplyDelete
  2. สวยมากกกก ยังงงๆ นิดๆ ว่า คืออะไร หลักๆ เป็นที่ที่ไว้ทำขนมของ Bake Ministry ใช่เปล่าคะ ตื่นเต้นๆ เดี๋ยวแวะไปน้า :D

    ReplyDelete
  3. @คุณ Kay , ขอบคุณมากค่ะ ยินดีต้อนรับค่า :D

    @พี่จ๋า 5555 จริงๆแล้วมันก็คือครัวใหม่ และออฟฟิศของปุ้ยเองนี่แหล่ะค่ะ
    โดนแม่ไล่ออกจากบ้าน โทษฐานทำบ้านรก ฮ่าๆๆ

    ReplyDelete